วิธีการเล่นแบล็คแจ็ค

ผู้เล่นควรเรียนรู้ถึงวิธีการและรูปแบบการเล่น รวมไปถึงทำความเข้าใจ เงื่อนไขต่างๆให้ชัดเจน เพื่อช่วยสร้างโอกาสในการทำกำไร

วิธีการเล่นแบล็คแจ็ค (BlackJack)

วิธีการเล่นแบล็คแจ็ค จะมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  1. ข้อกำหนดพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานของการเล่นแบล็คแจ็คคือ จะต้องมีเจ้ามือ 1 คน และมีผู้เล่นไม่เกิน 7 คน ใช้ไพ่ในการเล่น ตั้งแต่ 4-8 สำรับ (แล้วแต่ข้อกำหนดของเจ้ามือ)
  2. เมื่อเริ่มเกม เจ้ามือจะทำการแจกไพ่ใบแรกให้กับผู้เล่นทุกคน ตามลำดับ และจะแจกไพ่ให้กับตัวเองเป็นลำดับสุดท้าย จากนั้นจะทำการแจกไพ่ใบที่ 2 ในลักษณะเดียวกัน โดยข้อกำหนดของลักษณะการวางไพ่ที่แจกให้ผู้เล่นทุกคนนั้นจะต้องคว่ำไพ่ ในขณะที่ไพ่ของเจ้ามือจะหงายขึ้นมา 1 ใบ แต่ในลักษณะของการเล่นแบล็คแจ็คออนไลน์ เราจะเห็นไพ่ของผู้เล่นทุกคนหงายขึ้นทุกใบ มีเฉพาะของเจ้ามือเท่านั้นที่เราจะเห็นไพ่เพียงแค่ใบเดียว 
  3. หลังจากที่เราเห็นแต้มในมือของตัวเอง เราจะต้องตัดสินใจในการเดิมพันด้วยการเลือกวิธีการต่างๆ เช่น พอ หมอบ จั่วไพ่ แยกกอง หรือเพิ่มเงินเดิมพัน 
  4. เมื่อผู้เล่นตัดสินใจ พอ หรือ ขอจั่วไพ่จนถึงระดับที่พอใจ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วศัพท์ของนักพนันมักจะเรียกว่า “อยู่” แต่จะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เกิน 21 แต้ม  (เกิน 21 แต้ม แพ้ทันที)
  5. จากนั้นจะทำการวัดผลกับไพ่ของเจ้ามือ ฝ่ายใดได้แต้มสูงกว่า (แต่จะต้องไม่เกิน 21 แต้ม) จะกลายเป็นผู้ชนะและได้รับเงินเดิมพัน 1 เท่าของเงินเดิมพันที่ลงไป แต่ในกรณีชนะด้วยแต้มแบล็คแจ็ค หรือ 21 แต้มจะได้รับผลตอบแทน 3 เท่าของเงินเดิมพัน
วิธีการเล่นแบล็คแจ็ค
เมื่อเปิดไพ่แล้วเห็นแต้มของไพ่ทั้ง 2 ใบ สามารถขอจั่วไพ่ใบที่ 3 ได้

รูปแบบของการวางเดิมพัน 

1. ผู้เดิมพันสามารถที่จะเลือกเล่นได้มากกว่า 1 กอง 

2. เมื่อเปิดไพ่แล้วเห็นแต้มของไพ่ทั้ง 2 ใบ จะมีสถานการณ์ของการตัดสินใจเดิมพันในลักษณะที่แตกต่างกันได้แก่

  • ไพ่ 2 ใบแรกให้แต้มรวม 21 แต้ม จะให้ผลชนะในทันที 
  • ไพ่ 2 ใบแรกให้แต้ม 17 แต้มขึ้นไป แต่ไม่ถึง 21 แต้ม สถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างได้เปรียบและผู้เดิมพันมักจะใช้คำสั่งอยู่ / พอ หรือ stand 
  • ไพ่ 2 ใบแรกได้แต้มต่ำกว่า 16 แต้ม จะต้องมีการขอจั่วไพ่ใบที่ 3 ซึ่งเจ้ามือจะทำการถามถึงความต้องการในการจั่วไพ่เพิ่มอีก 1 ใบตามลำดับจนครบรอบ ซึ่งถ้าแต้มในมือยังต่ำอยู่ สามารถที่จะขอไพ่ได้อย่างไม่จำกัด จนกว่าจะมีแต้มที่ใกล้เคียงกับ 21 แต้มมากที่สุด แต่ทั้งนี้จะต้องไม่เกิน 21 แต้ม
  • ในกรณีที่ได้ไพ่ Ace 2 ใบ ซึ่งทำให้มีสถานการณ์ที่มีโอกาสได้ไพ่ใบที่ 3 และ 4 ซึ่งอาจได้ เท่ากับ 10 (10 , J , M , K ) เพิ่งจะทำให้ไพ่ในมือได้แต้มรวม 21 แต้ม หรือ แบล็คแจ็ค สถานการณ์แบบนี้ผู้เดิมพันสามารถที่จะแยกไพ่ออกเป็น 2 กองได้ ซึ่งจะต้องเพิ่มเงินเดิมพัน ในกองที่ 2 เข้าไปอีก
  • ถ้าเห็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นต่อเพราะมีแต้ม 2 ใบแรกในมือค่อนข้างสูง ผู้เดิมพันสามารถที่จะกดเพิ่มยอดเดิมพันขึ้นเป็น 2 เท่าได้อีกด้วย
  • ถ้าไพ่ 2 ใบแรกให้แต้มที่ไม่น่าสนใจและเป็นแต้มไพ่ที่ลุ้นค่อนข้างยาก เพราะมีความเสี่ยงสูงที่ไพ่ใบที่ 3 เมื่อจั่วไพ่ออกมาแล้วอาจทำให้แต้มในมือของเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เราสามารถที่จะเลือกที่จะหมอบหรือหยุด เพื่อขอรับเงินเดิมพันคืนครึ่งหนึ่ง
  • เมื่อมีการขอจั่วไพ่ใบที่ 3 เกิดขึ้นแล้วให้แต้มเกิน 21 แต้ม  แต้มจะให้ผลแพ้เดิมพันทันที แต่ทั้งนี้ถ้าเจ้ามือเป็นผู้จั่วไพ่ได้เกิน 21 แต้ม เท่ากับว่าผู้เล่นทั้งหมดที่มีแต้มไม่ถึง 21 แต้มจะเป็นผู้ชนะทั้งหมด 

3. การเลือกเดิมพันในลักษณะพิเศษ เช่น Insurance หรือแบบประกันภัย จะมีการคิดยอดเดิมพันครึ่งหนึ่งของเงินเดิมพันที่เราลงไปในครั้งแรก นั่นหมายความว่า ถ้าแต้ม 2 ใบแรกของเจ้ามือรวมกันได้ 21 แต้ม ผู้เดิมพันที่เลือกเล่นในรูปแบบประกันภัย จะได้รับกำไรครึ่งหนึ่งของเงินเดิมพัน แต่ถ้าแต้มของเจ้ามือให้ผลแพ้จะทำให้เราสูญเสียเงินเดิมพันทั้งหมดไป 

4. การให้ผลชนะในลักษณะพิเศษ เช่น ชนะด้วยไพ่คู่ ทั้งแต้มเหมือน หรือเป็นลักษณะของไพ่คู่ผสม ลักษณะการเดิมพันในรูปแบบพิเศษนี้จะทำให้ผู้ร่วมกันได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าปกติอีกด้วย 

 2,536 total views,  1 views today

5/5 (1 Review)
Share