นักเดิมพันเกมฟุตบอลทั้งเก่าและใหม่ อาจะเคยมีข้อสงสัยว่าราคาบอลไทยที่ใช้แทงในเว็บแทงบอลไทย กับราคาบอลแบบต่างประเทศที่เว็บนอกใช้กัน มันเป็นราคาเดียวกันมั้ย แล้วจุดเริ่มต้นของราคาเหล่านี้มาจากที่ไหนกันแน่
เรามาหาคำตอบ พร้อมทำความรู้จักกับราคาบอลไทย ตั้งแต่ราคาบอลคืออะไร ส่วนประกอบของราคาบอล รวมถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังกว่าจะมาเป็นราคาบอลไทยที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันนี้
มารู้จักกับ ราคาบอลไทย กันสักนิด
ก่อนที่จะลงลึกไปถึงเรื่องความต่างหรือไม่ต่างของราคาบอลไทย กับราคาบอลต่างประเทศ เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับราคาบอลที่เราพบเห็นตามเว็บแทงบอลกันก่อนดีกว่า ว่าราคาบอลเหล่านี้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกี่ยวโยงไปถึงราคาบอลไทยยังไงบ้าง?
สำหรับ ราคาบอลแบบไทย หรือราคาบอลที่คนไทยสายเดิมพันลูกหนังรู้จักกันและใช้สำหรับการแทงบอลนั้น เกิดขึ้นจากการนำ “อัตราต่องรองบอล” และ “ราคาน้ำฟุตบอล” มาคิดคำนวณรวมกัน
โดยเหตุที่ต้องมีราคาทั้ง 2 อย่างนี้ ก็เพื่อเป็นการรักษาสมดุลของราคาบอลที่กำหนดขึ้นมาให้กับบอลแต่ละคู่ เนื่องจากบางคู่เราจะเห็นว่ามีการได้เปรียบเสียเปรียบกันที่ค่อนข้างชัดเจน และยังทำให้ผู้ที่เข้ามาเดิมพันได้รับความหลากหลายในการเล่นมากยิ่งขึ้น
ใครเป็นผู้กำหนดราคาบอลขึ้นมา?
ราคาบอล ที่เราใช้กันอยู่จะออกโดยบริษัทพนันเจ้าดังที่จดทะเบียนอย่างถูกกฎหมายในต่างประเทศ ซึ่งในองค์กรเหล่านี้ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิจากหลากหลายด้าน
เช่น นักสถิติ นักวิเคราะห์ นักจิตวิทยา นักข่าววงในกีฬา นักกฎหมาย ที่ทำการวิเคราะห์ราคาบอลร่วมกันจากสถิติ ผลการแข่งขัน ความเสี่ยงต่างๆ รวมไปถึงผลกำไรที่ทางบริษัทจะได้รับจากการตั้งราคาบอลด้วย
ซึ่งหลังจากการวิเคราะห์แล้ว บริษัทเหล่านี้จะแสดงผลออกมาเป็น “ราคาบอลเปิด” เพื่อให้โต๊ะแทงบอลหรือเว็บแทงบอลต่างๆ ทั่วโลก ได้นำไปเป็นราคาต้นแบบที่สมเหตุสมผล จากนั้นก็นำไปปรับราคาต่อเองตามสถานการณ์ของการแข่งขัน
ความแตกต่างของราคาบอลแบบไทย vs ราคาบอลต่างประเทศ
ราคาบอลแบบไทย หรือราคาบอลที่หลายเว็บไซต์นิยมใช้ในไทย ไม่ว่าจะเป็นราคาบอลในลีกยอดนิยม ลีกนานาชาติ หรือลีกทั่วไป ล้วนก็เป็นอัตราต่อรองบอลที่อ้างอิงมาจากราคาเปิดบอลที่ออกโดยบริษัทพนันที่ถูกกฎหมายในต่างประเทศ ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีการออกราคาเปิดที่แตกต่างกันออกไปตามแต่การวิเคราะห์ของที่นั้นๆ
ซึ่งถ้าถามว่าราคาบอลแบบไทย กับราคาบอลต่างประเทศ ต่างกันที่ตรงไหน?
ก็ต้องบอกว่าต่างกันเล็กน้อย ด้วยราคาที่แสดงในเว็บแทงบอลในไทยนั้น เราจะเห็นว่าแต่ละเว็บก็นำราคาเปิดบอลมาจากแหล่งที่แตกต่างกัน ให้ราคาน้ำที่มากน้อยต่างกัน แล้วนำมาปรับราคาต่อเองทีหลังในระหว่างที่บอลกำลังแข่งขัน หรือที่เรียกกันว่า “ราคาบอลไหล” เพื่อรักษาสมดุลของราคาบอล หรือเป็นไปตามกลไกของความนิยมของผู้ที่เข้ามาเดิมพันในไทยนั่นเอง
ราคาบอลต่างประเทศที่หลายเว็บแทงบอลในไทยใช้อ้างอิงในการตั้งราคาบอลหลักๆ ก็คือ ราคาบอลสูงต่ำ(Under/Over) และ 1×2 ซึ่งถ้าใครเคยใช้บริการเว็บแทงบอลออนไลน์ของต่างชาติ เช่น Bet365, Ladbrokes, 12bet จะเห็นได้ว่าราคาบอลแบบสูงต่ำ และราคาพูล (มันนี่ไลน์) จะเป็นที่นิยมมากในกลุ่มชาวต่างชาติทั่วโลกที่ชื่นชอบการเดิมพันบอล
ราคาบอลในไทย ที่ต้องรู้จักมีอะไรบ้าง?
เมื่อรู้จักกับราคาบอลแบบไทยกันไปแล้วว่ามีความเหมือน หรือต่างกับราคาบอลต่างประเทศอย่างไร เรามาดูกันต่อว่าแล้วราคาบอลที่เว็บแทงบอลในไทยนิยมใช้ ประกอบไปด้วยราคาอะไรบ้าง
1. อัตราต่อรองบอลแบบไทย ที่นิยมใช้
เป็นการกำหนดแต้มต่อให้กับฝั่งที่เสียเปรียบ หรือที่เรียกกันว่า แฮนดิแคป เป็นการเปิดราคาบอลแบบที่นิยมใช้ในเว็บพนันบอลในไทย
โดยแต่ละคู่จะเห็นได้ว่าจะมีอัตราต่อรองบอลให้เลือกเล่นที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งถ้าเลือกแทงที่ความเสี่ยงเยอะก็จะได้คูณค่าน้ำที่เยอะ แต่ถ้าเลือกแทงที่ความเสี่ยงน้อยค่าน้ำที่นำมาคูณก็น้อยลงตาม
แล้วอัตราต่อรองบอลมีอะไรบ้าง?
สำหรับอัตราต่อรองบอลจะแบ่งออกเป็น 4 แบบ โดยแต่ละแบบจะมีความยากง่ายของการแทงที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็น
1. อัตราต่อรองบอลแบบเต็มลูก (1.0, 2.0, 3.0): เป็นอัตราต่อรองที่เหมือนให้ประตูทีมรองไปก่อนแบบเต็มลูก โดยถ้าเลือกแทงทีมต่อ ก็ต้องทำประตูให้ได้มากกว่าแต้มที่ต่อเอาไว้ เช่น ต่อ 1.0 ก็ต้องทำอย่างน้อย 2 ประตู เพื่อให้ชนะเดิมพัน
ส่วนถ้าเลือกแทงทีมรอง ก็ต้องดูว่าแต้มต่อที่เท่าไหร่ เช่น อัตราต่อรองที่ 2.0 หาก ชนะ เสมอ หรือแพ้ลูกเดียวถึงจะได้รางวัล ส่วนแพ้ 2 ลูกคืนทุน แต่ถ้าแพ้เกินจำนวนแต้มต่อก็จะเสียเดิมพัน
2. อัตราต่อรองบอลแบบเสมอ (0.0): เป็นอัตราการต่อรองในแมตช์ที่ทั้งสองทีมสูสีกัน หากเลือกเดิมพันฝั่งไหนแล้วชนะ ก็ได้รางวัลกลับไป แต่ถ้าทีมที่เดิมพันแพ้ก็เสียเดิมพันไป ส่วนถ้าเกิดเสมอกันก็ได้เงินเดิมพันคืน
3. อัตราต่อรองบอลแบบครึ่งลูก (0.5, 1.5, 2.5): เป็นอัตราต่อรองที่มีผลได้เต็ม หรือเสียเต็มเท่านั้น สามารถคิดได้โดยการนำแต้มต่อไปบวกกับจำนวนประตูของทีมรอง
เช่น ทีมต่อ(A) ชนะ ทีมรอง(B) 1-0 ที่ราคาต่อ 1.5
ก็ให้นำราคาต่อไปบวกให้กับทีมรอง จะได้ (A)1 – (B)1.5 นั่นหมายความว่าทีมต่อแพ้ หากเลือกแทงทีมต่อ(A) จะเสียเต็ม แต่ถ้าเลือกแทงทีมรอง(B) จะได้เต็ม
4. อัตราต่อรองบอลแบบลูกควบ (0.25, 0.75, 1.25, 1.75, 2.25, 2.75): เป็นอัตราต่อรองที่เหมือนกับเราแทง 2 ราคาควบกัน ซึ่งอาจจะมีทั้งได้เต็ม ได้ครึ่ง เสียครึ่ง เสียเต็ม โดยให้นำแต้มต่อไปบวกให้กับประตูที่ทีมต่อทำได้
เช่น ทีมต่อ(A) ชนะ ทีมรอง(B) 1-0 ที่ราคาต่อ 1.25
ก็ให้นำราคาต่อไปบวกให้กับทีมรอง จะได้ (A)1 – (B)1.25 นั่นหมายความว่าทีมต่อ(A) แพ้ แต่ก็จะเสียครึ่งเดียว หากจะให้ได้เต็มทีมต่อต้องชนะตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไป ส่วนถ้าแทงทีมรอง(B) จะได้ครึ่ง หากจะให้ได้เต็มทีมรองต้องตีเสมอที่ 1-1 หรือทำประตูชนะให้ได้
2. ราคาน้ำฟุตบอล
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องนำมาคำนวณร่วมกับอัตราต่อรองบอล นั่นก็คือราคาน้ำฟุตบอล ซึ่งราคาบอลแบบไทยหรือราคาน้ำที่นิยมเล่นการในเว็บแทงบอลไทย จะมีด้วยกันอยู่ 3 ราคาให้เลือก ซึ่งได้แก่
1. ราคาน้ำแบบมาเลย์ (MY): เป็นราคาบอลที่คนไทยนิยมเล่นกันแพร่หลาย ซึ่งเป็นราคาน้ำที่ช่วยรักษาทุนเดิมพันเอาไว้เมื่อแทงเสีย ช่วยลดโอกาสการขาดทุนได้ หรือที่เรียกกันว่าราคาน้ำดำ น้ำแดง นั่นเอง
2. ราคาน้ำแบบฮ่องกง (HK): เป็นราคาบอลที่คิดราคาตามค่าน้ำ ถ้าแทงถูกก็นำเงินเดิมพันมาคูณกับราคาน้ำ แต่ถ้าเสียจะเสียเต็ม
3. ราคาน้ำแบบยูโร (EU): เป็นราคาบอลแบบทศนิยม โดยจะสังเกตว่าราคาส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยเลข 1 ตามด้วยทศนิยม ซึ่งหากแทงถูกก็จะเอาจำนวนเงินเดิมพันคูณด้วยราคาน้ำที่กดแทง แต่หากแทงเสียก็เสียเต็ม คิดเหมือนกับราคาน้ำแบบฮ่องกง แค่ที่มาของราคาต่างกัน
ท้ายบทความ
เมื่อได้รู้จักกับราคาบอลแบบไทย และได้รู้ถึงความแตกต่างของราคาบอลต่างประเทศกันแล้ว หากคุณกำลังมองหาเว็บแทงบอลไทย ที่อ้างอิงราคาน้ำจากเว็บนอกมาตรฐานระดับโลก มาให้คุณได้เล่น
มาสมัครใช้บริการได้เลยที่ databet88 รับรองเลยว่าประสบการณ์ในการแทงบอลด้วยราคาบอลแบบไทยที่ให้ราคาน้ำดีๆ จะมอบความคุ้มค่าให้กับคุณอย่างแน่นอน
1,419 total views, 1 views today